เมื่อวันที่ 10 รองประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย เปิดเผยว่า ผลการสำรวจรอบนี้ของเรา ต้องยอมรับว่า ไม่ดีเท่าที่ควร เนื่องจากการแพร่ของโอมิครอนเริ่มมีความรุนแรงขึ้น และเกรงว่าภาครัฐจะกลับมาประกาศมาตรการการควบคุมอย่างเข้มงวดอีกครั้ง แม้จะมีการเพิ่มขึ้นของยอดขายสาขาเดิม แต่ก็เกิดจากความถี่ในการจับจ่าย ที่เพิ่มขึ้นในช่วงเทศกาลปีใหม่ และยอดซื้อต่อบิล เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากราคาสินค้าที่ปรับขึ้นเป็นหลัก ไม่ใช่เกิดจากกำลังซื้อที่แท้จริง สะท้อนว่ายังต้องการแรงกระตุ้นจากมาตรการต่างๆ ของภาครัฐ
ทั้งนี้ ยังมีบทสรุปประเด็นสำคัญของ การประเมินกำลังซื้อและแนวโน้มการแพร่ระบาดไวรัสสายพันธุ์ โอมิครอนจากมุมมองผู้ประกอบการ ในเดือนธันวาคม ที่สำรวจระหว่างวันที่ 17-24 ธันวาคม 2564 ดังนี้
1.ยอดขายเพิ่มขึ้นตลอดปีที่ผ่านมา
โดยมาจากอันดับ มาตรการการกระตุ้นการจับจ่ายภาครัฐ, การจัดโปรโมชั่นของร้านค้า, การขายผ่านออนไลน์
2.ความกังวลต่อการแพร่ระบาดโอมิครอนอันดับ
กังวลต่อกำลังซื้อที่ยังไม่ฟื้นตัว, ลูกค้างดการทำกิจกรรมนอกบ้าน, กังวลต่อมาตรการที่อาจต้องล็อคดาวน์
3.แผนการรองรับหากมีการแพร่ระบาดของโอมิครอน พบว่า 63% ขายผ่านออนไลน์เพิ่มขึ้น, 40% ลดค่าใช้จ่าย ลดการจ้างงาน, 30% ดำเนินธุรกิจตามปกติ เว้นแต่ภาครัฐสั่งให้ปิด
4.ความช่วยเหลือจากภาครัฐ ได้แก่ 58% เพิ่มการลดหย่อนภาษีและลดภาระค่าใช้จ่าย, 55% เพิ่มมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและต่อเนื่อง, 43% ช่วยจ่ายค่าจ้างแรงงานจะเห็นได้ว่ากำลังซื้อของผู้บริโภคยังไม่ฟื้นตัวมากนัก การกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยโครงการต่างๆ อย่างต่อเนื่องของภาครัฐถือเป็นสิ่งสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย และจะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้ภาคธุรกิจไทยได้อีกครั้ง นอกจากนี้ยังเป็นการเพิ่มการจ้างงาน และสร้างเม็ดเงินเข้าสู่ระบบค้าปลีกและบริการได้อย่างต่อเนื่อง เพราะเราไม่สามารถที่จะกลับไปอยู่ในภาวะวิกฤตเหมือนในปี 2564 ที่ทุกอย่างหยุดชะงัก เพราะฉะนั้นการลดการแพร่ระบาดของโอมิครอนให้กระจายอยู่เพียงในวงจำกัด และกระทบต่อเศรษฐกิจที่กำลังขยับตัวดีขึ้นให้น้อยที่สุด จึงเป็นทางออกเดียวของเราทุกคน