วงการธุรกิจร้านยาในเวียดนามกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ร้านยากำลังเป็นธุรกิจฮิตในเวียดนาม ตีคู่มากับห้างสรรพสินค้าและร้านสะดวกซื้อ โดยช่วงปี 2563-2564 ที่โควิด-19 ระบาด จำนวนร้านยาในเวียดนามเพิ่มขึ้นถึง 8 เท่าเมื่อเทียบกับปี 2562 โดยนอกจากจำนวนร้านที่ผุดขึ้นทั่วประเทศในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา โดยจำนวนร้านของผู้เล่นใหญ่ 3 แบรนด์ คือ ฟาร์มาซิตี้ (Pharmacity) ผู้เล่นรายใหญ่ที่สุดมีสาขา 1,100 สาขา, ลองเชา (Long Chau) มี 700 สาขา และ อันคัง (An khang) มี 500 สาขา รวมกันแล้วประมาณ 2,400 สาขา เพิ่มขึ้นจากปี 2562 ถึง 8 เท่าและแม้จะขยายตัวมาถึง 8 เท่าตัวแล้ว แต่รายใหญ่อย่างฟาร์มาซิตี้ยังมีแผนเดินหน้าขยายสาขาเพิ่มอย่างต่อเนื่อง ไม่เพียงจำนวนสาขาจะเพิ่มขึ้นแต่ผลประกอบการของผู้เล่นยังเติบโตตามด้วยเช่นกัน
การเร่งขยายสาขาของ 3 เชนใหญ่ ยังทำให้รูปแบบของร้านยาในเวียดนามพัฒนาไปสู่ร้านค้าปลีกสมัยใหม่มากขึ้น จากเดิมที่ร้านยาส่วนใหญ่มีลักษณ์คล้ายร้านชำไม่มีการติดป้ายราคายา ไม่มีเภสัชกรประจำ นอกจากนี้การแข่งขันดุเดือดระหว่างทั้ง 3 รายยังทำให้ราคายาที่วางขายในร้านลดต่ำลงจนผู้บริโภคยังตกใจ อีกทั้งยังมีการขายผ่านทางออนไลน์อีกด้วย
แตกต่างจากสภาพร้านยาแบบดั้งเดิมในเวียดนามที่จะคล้ายกับร้านชำ โดยเจ้าของร้านเป็นผู้ขาย และไม่มีการติดป้ายราคาสินค้าแต่อาศัยการแจ้งแบบปากเปล่า ทำให้หลายครั้งลูกค้าต้องซื้อยาในราคาที่สูงกว่าปกติ อีกทั้งบางร้านยังมีสลับบรรจุภัณฑ์สินค้าอีกด้วย สร้างความไม่พอใจกับผู้บริโภคจำนวนไม่น้อยทั้งนี้การขยายตัวของเชนร้านยาในเวียดนามเป็นผลจากหลายปัจจัย ทั้งความตื่นตัวเรื่องสุขภาพที่มาพร้อมกับการระบาดของโรคโควิด-19 และการมีระดับรายได้เฉลี่ยสูงขึ้นทำให้ไลฟ์สไตล์เริ่มเปลี่ยนไป สะท้อนจากกระแสการหันไปซื้อสินค้าของสดในร้านค้าปลีกสมัยใหม่แทนการเดินตลาดสด เนื่องจากความสะอาดและความชัดเจนของราคาสินค้า