วันที่ 7 สิงหาคม 2565 รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า กลุ่มเป้าหมายของวัคซีนป้องกันโรคฝีดาษลิงที่คาดว่าจะนำเข้ามาใช้ในไทยประมาณปลายเดือนสิงหาคม 2565 นั้นจะต้องพิจารณาหลายด้าน เช่น ประสิทธิภาพในการป้องกัน ผลข้างเคียงต่างๆ และการสถานการณ์การระบาด
ทั้งนี้คณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค ได้กำหนดกลุ่มเป้าหมายที่จะรับวัคซีนเบื้องต้น แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ
- กลุ่มก่อนการสัมผัสเชื้อ ได้แก่ กลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความเสี่ยงติดเชื้อ เช่น ดูแลผู้ป่วยใกล้ชิด หรือเจ้าหน้าที่ห้องปฏิบัติการ
- กลุ่ม Post-exposure คือฉีดวัคซีนให้กลุ่มเสี่ยงหลังสัมผัสโรคไม่เกิน 14 วัน ซึ่งหากฉีดเร็วจะมีโอกาสป้องกันการติดเชื้อเพิ่มขึ้น
พร้อมย้ำว่า วัคซีนเป็นเพียงหนึ่งในเครื่องมือป้องกันโรค ไม่มีวัคซีนใดที่จะสามารถป้องกันโรคได้ 100% วัคซีนมีหน้าที่ช่วยลดอาการรุนแรงของโรค ลดป่วยหนัก ลดเสียชีวิต
สิ่งสำคัญที่สุด คือ การมีพฤติกรรมการป้องกันโรคที่เคร่งครัด ซึ่งจะลดความเสี่ยงในการติดเชื้อทั้งโรคฝีดาษวานร และโควิด 19 เน้นย้ำการล้างมือบ่อยๆ ด้วยน้ำและสบู่ หรือใช้เจลแอลกอฮอล์ สวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิด และงดมีเพศสัมพันธ์กับคนแปลกหน้า ที่ไม่รู้ประวัติหรืออาการป่วยมาก่อน โดยเฉพาะผู้ที่มีผื่น ตุ่ม หนอง และไม่ใช้สิ่งของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น เป็นต้น
ความเสี่ยงที่จะติดโรคนั้น ส่วนใหญ่มาจากการสัมผัสรอยโรคผิวหนัง เช่น ผื่น ตุ่มหนอง สารคัดหลั่ง หรือสัมผัสใกล้ชิดมากๆ กับผู้ป่วย หรือบาดแผลของผู้ป่วย รวมทั้งการติดต่อผ่านทางละอองทางเดินหายใจจากการอยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วย เช่น หน้าแนบหน้าสอดคล้องกับ คำแนะนำของ องค์การอนามัยโลก (WHO) ที่ให้ใช้วัคซีนป้องกันโรคในกลุ่มที่จำเป็น เช่น บุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า ซึ่งสิ่งที่สำคัญอันดับแรก คือ การป้องกันโรคโดยไม่สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย งดเพศสัมพันธ์กับคนแปลกหน้า หรือไม่ใช้สิ่งของร่วมกับผู้อื่น และล้างมือบ่อย ๆ เพื่อป้องกันติดเชื้อจะเป็นการดีที่สุด