ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจค้าส่งแม็คโคร บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด จากนี้ไปจะให้ความสำคัญกับการขยายตลาดทั้งในรูปแบบออนไลน์และออฟไลน์ (O2O) เพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภคในปัจจุบัน โดยเฉพาะยุคหลังโควิดที่ต้องการความสะดวกสบาย และจับจ่ายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์เพิ่มมากขึ้น โดยได้วางงบประมาณการลงทุนไว้ 11,000 ล้านบาท แบ่งเป็นการขยายสาขาทั้งในและต่างประเทศ 35 สาขาเป็นสาขาในประเทศ 30 สาขา
โดยจะโฟกัสการขยายสาขาในรูปแบบโมเดล foods service ขนาดเล็ก เพื่อให้เข้าถึงลูกค้าและชุมชนให้มากที่สุด และการขยายสาขาเพื่อรองรับบริการออนไลน์ของแม็คโครในอนาคต ปัจจุบันแม็คโครมีสาขา 144 แห่ง ครอบคลุมกว่า 67 จังหวัดและขยายสาขาในต่างประเทศเพิ่มอีก 5 แห่ง เป็นอินเดีย 3 สาขา กัมพูชา 2 สาขา
แพลตฟอร์ม maknet เปิดให้บริการนำร่องในโซนกรุงเทพฯตะวันตก ระยะทางกว่า 30 กม. จากสโตร์หลัก โดยในไตรมาส 2 นี้จะเปิดตัวให้บริการครอบคลุมทั่วกรุงเทพฯ และแม้ก่อนหน้าเราจะมีช่องทางออนไลน์ MakroClick อยู่แล้ว แต่เป็นเพียงแพลตฟอร์มขนาดเล็กที่ใช้ขายสินค้าของแม็คโครโดยเน้นอาหารเป็นหลัก การเปิดตัว maknet จะเปรียบเสมือนบ้านหลังใหญ่ หรือการเป็น B2B online marketplace โดยจะดึง MakroClick เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของแพลตฟอร์ม พร้อมดึงพันธมิตรคู่ค้าเข้ามาวางจำหน่ายสินค้า และมองหากลุ่มสินค้าที่ไม่ใช่อาหารเข้ามาเสริมโดยวางเป้าหมายของแพลตฟอร์ม maknet เป็นแพลตฟอร์มที่ครบวงจรสำหรับ B2B ครอบคลุมสินค้ากว่า 100,000 รายการ พร้อมทั้งก้าวขึ้นเป็นแพลตฟอร์ม B2B online marketplace อันดับ 1 ของไทย ด้วยจุดเด่นคือความครบจบในที่เดียว เป็นแพลตฟอร์มแรกที่ลูกค้าผู้ประกอบการจะนึกถึงในทุกช่วงเวลาของการทำธุรกิจขณะนี้แม้ว่าราคาสินค้าต่าง ๆ จะปรับเพิ่มขึ้น จากราคาน้ำมันและราคาวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้น แต่เรายังไม่มีแผนปรับขึ้นราคาสินค้าแต่อย่างใด และมั่นใจว่าจะสามารถสร้างการเติบโตได้ดีทั้งนี้เป็นผลมาจากการเดินหน้ากลยุทธ์ O2O อย่างเต็มที่ จากปีที่ผ่านมาที่สามารถปิดยอดขายได้กว่า 2.2 แสนล้านบาท แบ่งเป็นยอดขายในประเทศ 95% ต่างประเทศราว 5%