เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2564 นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ปัจจุบันโควิดสายพันธุ์โอไมครอนได้ระบาดและกระจายไปใน 89 ประเทศทั่วโลก และขณะนี้ยังพบสายพันธุ์ย่อยของโอไมครอนอีก 3 สายพันธุ์ ได้แก่ สายพันธุ์ BA.1 จำนวนกว่า 6,000 ราย, BA.2 จำนวน 18 ราย และ BA.3 จำนวน 5 ราย
ทั้งนี้ ข้อมูลโอไมครอนจากต่างประเทศสำหรับอัตราการแพร่ระบาดของเชื้อพบว่า หากทำการเปรียบเทียบในประชาชนกลุ่มที่ ไม่มีภูมิคุ้มกันเลย สามารถแพร่เชื้อได้เร็วถึง 8.54 ขณะที่สายพันธุ์เดลต้าอยู่ที่ 6.0 และสายพันธุ์อู่ฮั่นอยู่ที่ 2.5 สะท้อนได้ว่ามีการแพร่ระบาดได้รวดเร็วกว่าทุกสายพันธุ์ แต่ในอัตราการป่วยเข้า รพ. และอัตราการเสียชีวิตยังมีไม่มากเนื่องจากยังมีเคสศึกษาไม่มากพอนัก ส่วนข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า สายพันธุ์โอไมครอนทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนป้องกันโควิดลดลง แต่ไม่ทำให้ระดับ T-Cell และ B-Cell ที่มีส่วนสำคัญในการต่อสู้กับเชื้อโควิดลดลงแต่อย่างใด ตลอดจนการฉีดวัคซีนกระตุ้นภูมิคุ้มกันเป็นเข็มที่ 3 ยังสามารถเพิ่มระดับภูมิคุ้มกันได้เป็นอย่างดี
อย่างไรก็ตาม สำหรับสถานการณ์การติดเชื้อโอไมครอนในประเทศไทยในสัปดาห์นี้พบผู้ติดเชื้อเพิ่ม 52 ราย รวมสะสมทั้งสิ้น 63 ราย คิดเป็น 3.26% ของผู้ติดเชื้อทั้งหมด โดยทุกรายมีความเชื่อมโยงจากการเดินทางมาจากต่างประเทศ ยังไม่มีเคสที่เกิดขึ้นจากในประเทศเหมือนตอนสายพันธุ์อัลฟ่าที่คลัสเตอร์ทองหล่อ ที่เกิดในประเทศแบบไม่มีที่มาที่ไป ซึ่งหากเทียบสัดส่วนการติดเชื้อในกลุ่มคนเดินทางเข้าไทย ทั้งจากระบบ Test and Go, sandbox, AQ (Alternative Quarantine) จะพบสายพันธุ์โอไมครอนมากถึง 1 ใน 4ในบางเคสมาในรูปแบบ Test and Go ตรวจ RT-PCR ก่อนเดินทางเข้าไทย 72 ชม. และตรวจซ้ำในไทยแต่ไม่เจอติดเชื้อ จึงต้องปล่อยไป ปรากฏว่าอีกไม่กี่วันพบติดเชื้อโอไมครอน ทำให้ผู้ป่วยหลุดไปได้ ดังนั้นอยากให้ฝั่งนโยบายพิจารณาปรับมาตรการ Test and Go เพื่อไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดเป็นคลัสเตอร์ในประเทศไทย